-Scarlet Snow-
(BNior)
สีขาวของหิมะเป็นสีที่บริสุทธิ์....ผมมองมันแบบนั้นเสมอมา
แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วหิมะนั้น ถึงมันจะมีสีขาว
ก็ไม่ได้แปลว่ามันบริสุทธิ์.....
นาฬิกาข้อมือของผมบอกเวลาเที่ยงตรงแล้ว
นั่นหมายความว่าผมจำเป็นต้องหยุดทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวเพื่อไปรับใครคนหนึ่งมากินข้าวกลางวันด้วยกันเหมือนที่ทำเป็นกิจวัตร
แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงหน้าหนาว
ผมจึงไม่จำเป็นต้องรีบมากเพราะดูเหมือนว่าเขาจะรักการอยู่กับหิมะมากกว่าอยู่กับผมเสียอีก
ผมชอบมองเวลาที่เขายืนอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวพวกนั้น
มันเป็นภาพที่สวยจริงๆเพราะเขาเหมาะกับหิมะเอามากๆ
ทั้งที่เขาและผมเกิดวันเดียวกัน.....ใช่ วันคริสต์มาส.....ในหน้าหนาว....วันที่หิมะดูสวยยิ่งกว่าวันไหนๆ......เขาบริสุทธิ์เหมือนกับหิมะในขณะที่ตัวผมไม่มีอะไรบ่งบอกได้เลยว่าเป็นผู้ชายหน้าหนาว
บางทีผมอาจจะดูแข็งแกร่งเกินไป ถึงได้ดูไม่เหมาะกับหิมะเอาเสียเลย.....
“นายไม่มีความอ่อนโยนเลยนะแจบอม” เขาเคยบอกกับผมว่าอย่างนั้น “หิมะตรงข้ามกับนายทุกอย่างเลย
แต่แปลก ถึงยังไงนายก็ยังดูกลมกลืนกับหิมะอยู่ดี”
“นั่นเป็นเพราะฉันเกิดวันเดียวกับนายไงล่ะ”
ผมตอบเขา “แค่ออร่าจากตัวนายก็ทำให้ฉันหนาวไปทั้งปีแล้ว” ผมพูดและนั่นก็ทำให้เขาหัวเราะเบาๆด้วยความพอใจ แม้จะเกิดในฤดูหนาว
แต่เขาก็ไม่ได้เย็นชา เขาไม่ได้แข็งเหมือนน้ำแข็ง ตรงกันข้าม เขาอ่อนโยนและนุ่มนวล
ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะเห็นเขาโกรธ เขาไม่เคยโมโหใคร เขาไม่เคยว่าร้ายใคร ตลอดหลายปีที่ผมรู้จักกับเขา
เขามักจะอ่อนโยนแบบนี้เสมอ....
“จินยอง
ฉันพักเที่ยงแล้วนะ”
ผมบอกเขาและเก็บเอกสารบนโต๊ะให้เป็นระเบียบเรียบร้อยไปด้วย ทันทีที่เขาบอกว่าพร้อม
ผมก็จะไปรับเขาทันที
“อีกครึ่งชั่วโมงมารับฉันได้ไหม
หลังเที่ยงมีงานอีกรึเปล่า” เสียงนุ่มๆตอบกลับมาทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้
เขาถามผมแบบนี้ทุกครั้ง และถ้าวันไหนผมไม่ว่าง เขาก็จะไม่เซ้าซี้ให้ผมไปรับเขา
“นายคิดว่าฉันเป็นใครกัน
ฉันประธานอิมนะ” ผมโม้ “ถ้าฉันจะเบี้ยวซะอย่าง
ใครก็ว่าฉันไม่ได้หรอก”
“พ่อประธานใหญ่...” น้ำเสียงของจินยองดูเหมือนจะหมั่นไส้นิดๆ “ใช่สิ
ฉันมันเจ้าของร้านดอกไม้ต๊อกต๋อยนี่นะ วันๆต้องเฝ้าร้าน
ทิ้งงานไปไหนมาไหนไม่ได้อย่างนาย แจบอม....ในเมื่อนายว่างมาก
ทิ้งงานมาช่วยฉันขายดอกไม้เอาไหม” เขาพูดทีเล่นทีจริง
“ก็ไม่แน่” ผมตอบอย่างไว้เชิง “แต่ถ้าเกิดฉันแพ้เกสรดอกไม้ของดอกอะไรสักอย่างในร้านนายแล้วเดี้ยงไปล่ะ
จะทำยังไง กิจการฉันไม่พังหมดหรือ”
“นายแพ้ดอกทิวลิปแค่อย่างเดียว” เขาท้วง “และร้านฉันก็ไม่มีดอกทิวลิปด้วย”
จินยองก็ยังเป็นจินยอง...ผมคิด
เขาใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม อะไรที่ผมไม่ชอบ
เขาก็จะทำเหมือนว่าของสิ่งนั้นไม่มีอยู่ในโลกนี้ อะไรที่ผมชอบ
เขาก็จะหามาให้ผมเสมอๆ มันเป็นแบบนี้ตลอดมา
นี่เป็นข้อดีอีกข้อหนึ่งของจินยองที่ทำให้ผมยอมรับในตัวเขา
แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนเงียบๆ ไม่ชอบพูดคุยกับใคร
แต่เขาก็จำรายละเอียดทุกอย่างรอบตัวเขาได้หมดและยังเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างอีกด้วย
จินยองรู้ทุกอย่างว่าผมชอบอะไร
ผมเองก็รู้ว่าเขาชอบอะไร.......
ในชีวิตของเขาไม่เคยชอบอะไรมากไปกว่าหิมะ
อย่างเดียวในชีวิตที่เขาชอบก็คงจะมีแต่หิมะเท่านั้น...ผมว่างั้นนะ...
“เอาเป็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันนะ” ผมตัดบท “เดี๋ยวฉันไปรับที่ร้าน แล้วเจอกัน”
ผมก้าวลงมาจากตึกแล้วมองออกไปรอบๆตัว
หน้าหนาวนี่อะไรก็ดีหมดยกเว้นเวลาที่หิมะตกมากๆ....น่ารำคาญตรงที่เราต้องคอยระวังไม่ให้ลื่นเวลาที่มันเริ่มละลาย
หรือถ้ามันตกหนักๆ ทัศนียภาพตอนขับรถก็ไม่ดีเหมือนกัน ผมเคยบ่นให้จินยองฟังอยู่บ่อยๆว่ารำคาญหิมะที่ตกหนักๆเพราะมันทำให้ผมต้องขับรถช้าลงกว่าเดิมเกือบเท่าตัว
เขาไม่ว่าอะไรนอกจากกำหมัดแล้วชกเข้ามาที่แขนของผมเบาๆ
“พูดแบบนี้ไม่สมกับที่เกิดวันคริสต์มาสเลย” เขาติ “นายน่าจะชอบมันให้มากๆนะ
ฉันว่าหิมะเนี่ยทำให้เราเย็นลงได้เยอะเลย พอมองมันปุ๊บก็สงบปั๊บ ดูสิ สบายตาจะตาย”
“ต้องเย็นลงแหงอยู่แล้ว
ก็มันเป็นหิมะนี่” ผมกวนเขา “นายไม่ต้องขับรถบ่อยๆแบบฉัน
นายก็ไม่รำคาญสิ”
“ก็ฉันมีนายขับให้นี่นา” เขาหัวเราะลั่น “เรื่องอะไรฉันจะต้องลำบากขับเองล่ะ
สายตาฉันไม่ค่อยดีนายก็รู้”
จินยองเป็นคนที่บอบบางและอ่อนแอ
ตั้งแต่วันที่ผมรู้จักเขา เขาก็เป็นแบบนั้นเสมอ แม้เขาจะอ่อนโยนและนุ่มนวล
แต่ผมก็รู้ว่าข้างในของเขาไม่ใช่แบบนั้น
บ่อยครั้งที่จินยองมักจะมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วถอนหายใจ
เหมือนกับจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ปิดตายตัวเองและไม่เปิดรับอะไรอีก
ผมรู้มาว่าเขามีปัญหากับครอบครัว แต่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้
จินยองจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่ผมไม่เคยรู้จัก.....เขาดูเงียบเหงา อ้างว้าง
และเดียวดาย
ผมขับรถมาจอดที่หน้าร้านของเขาก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน
แต่อะไรบางอย่างบอกผมว่าวันนี้บรรยากาศในร้านแปลกไปจากที่เคย
มันหม่นหมองและหดหู่อย่างประหลาด ผมสงสัยว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ก็ไม่น่าใช่
เพราะเมื่อกี้ที่คุยกัน เสียงของจินยองยังสดใสอยู่เลย.....
“มาแล้วเหรอ” เสียงนุ่มๆของจินยองทักทายผมทันทีที่ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าร้าน
เมื่อผมเปิดประตูเข้าไปก็เห็นเขากำลังรออยู่ จินยองไม่ได้อยู่คนเดียว ข้างๆเขามีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ด้วย แต่ให้ตายเหอะ
ผมไม่คิดว่าเขาจะไว้ใจได้หรอกนะ
ผู้ชายคนนี้มีอะไรประหลาดๆที่ผมคาดเดาไม่ได้อีกเช่นกัน
และนั่นก็คงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้ร้านดอกไม้ของเพื่อนผมถึงดูหดหู่นัก
เหมือนจินยองจะดูออกว่าผมกำลังคิดอะไร เขาจึงแนะนำผู้ชายคนนั้นก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายถามด้วยตัวเอง
“นี่พ่อเลี้ยงของฉันเอง.....พ่อครับ
นี่เพื่อนผม แจบอม...อิมแจบอม...”
เขาแนะนำผมให้ชายคนนั้นรู้จัก เสียงนุ่มๆของจินยองซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้เวลาที่เขาพูดกับตาแก่นั่น....ไม่หรอก
ความจริงผู้ชายคนนี้ก็ไม่แก่มากเท่าไหร่ เขายังดูแข็งแรงและสุขภาพดี
แต่นั่นไม่ช่วยทำให้ผมมองเขาในทางที่ดีขึ้นเลยเพราะเมื่อเห็นสายตาของจินยองที่มองเขา ผมก็รู้ทันทีว่าเพื่อนของผมก็คงไม่รู้สึกดีกับคนคนนี้เท่าไหร่นัก
“สวัสดีครับ” ผมได้ยินเสียงตัวเองตอบออกไป “ผมเป็นเพื่อนสนิทของจินยองครับ”
ผู้ชายหน้าพิลึกนั่นมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
เขาไม่สนใจจะรับคำทักทายของผมเลย
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพูดอะไรออกมาชนิดที่ผมคิดไม่ถึงอีกด้วย
“คนที่เท่าไหร่ของแกล่ะจินยอง คนนี้น่ะ” เขาถามเสียงเย็นๆ แต่คำที่พูดออกมามันเหมือนกับหมัดฮุคที่เปรี้ยงเข้าเต็มหน้าผมชัดๆ
นั่นยังไม่เท่าไหร่เพราะจินยองยิ่งแย่กว่าผมร้อยเท่า
ตอนนี้เขาหน้าซีดจนแทบไม่มีสีเลือดแล้ว
“เขาเป็นเพื่อนผมครับ
แจบอมเป็น...เพื่อน...ของ...ผม ครับพ่อ” จินยองย้ำช้าๆและชัดๆ ตอนนี้ในแววตาของเขาไม่มีความอบอุ่นนุ่มนวลอีกต่อไป
ผมรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกเวลาเห็นจินยองมองพ่อเลี้ยงเขาแบบนั้น
ตลอดหลายปีที่ผมคบกับเขามา จินยองไม่เคยเล่าเรื่องในครอบครัวของเขาให้ฟังเลย
ทุกเรื่องที่ผมได้ยินเกี่ยวกับตัวเขาก็มักจะมาจากเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน แม้จินยองจะรู้ว่ามีหลายคนนินทาเขาลับหลัง แต่เขาก็ยังไม่ยอมบอกอะไรผมอยู่ดี
ผมเองก็ไม่ได้อยากรู้มากไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ตราบใดที่จินยองยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อผม ผมก็ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลย
“จะเพื่อนหรืออะไรก็ตามเถอะ
แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะว่าเรื่องที่ผ่านมา ฉันไม่ได้ต้องการให้แกลืม” เขาไม่ฟังเสียงของจินยองและสวนกลับไปอย่างห้วนๆเช่นเคย
มือของเขายกขึ้นลูบแก้มบางนั้นเบาๆก่อนจะเลื่อนลงมาตบไหล่เขาอย่างมีความหมาย
“เรื่องที่ฉันขอร้องแกนั่น
หวังว่าคงจะทำให้ฉันได้นะ ถ้าไม่อยากให้ฉันมาเจอหน้าแกบ่อยๆล่ะก็
รีบๆทำให้ฉันซะที ถ้าฉันเหลืออด แกก็รู้ใช่ไหมว่ามันจะเป็นยังไง” ผู้ชายคนนั้นทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปจากร้านแถมยังเดินชนผมเต็มแรงราวกับว่าผมไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาเขาเลย......
ไอ้ทุเรศ......
ผมหันกลับไปมองหน้าของจินยองอีกครั้ง ทั้งที่หิมะกำลังตกอยู่แท้ๆ จินยองไม่เคยทำหน้าเศร้าแบบนี้สักครั้งเวลาที่เห็นหิมะตก ต่อให้เสียใจแค่ไหน
เวลาที่เห็นหิมะ เขาก็ยังยิ้มให้มันได้อยู่ดี
นั่นทำให้ผมรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่
และคราวนี้ผมก็คงปล่อยให้มันผ่านไปไม่ได้ถ้าไม่ถามเขาให้กระจ่าง
“เขากำลังต้องการเงิน” จินยองชิงบอกก่อนที่ผมจะถามเขา......จินยองก็ยังเป็นจินยอง เขารู้ใจผมเสมอ แม้ว่าจะอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เขาก็ไม่แสดงท่าทีลำบากใจออกมาให้ผมเห็นเลยสักนิดเดียว
“พ่อต้องการเงิน
เลยบอกให้ฉันขายร้านนี้แล้วกลับไปอยู่กับเขา”
น้ำเสียงนั้นหม่นลงเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกแจบอม
นายก็รู้ว่าฉันผูกพันกับที่นี่มากแค่ไหน ฉันเก็บเงินอยู่หลายปีกว่าจะมีร้านนี้ได้
เพราะงั้น ฉันขายมันไม่ได้หรอก”
“เรื่องแค่นี้เอง
ยืมฉันก็ได้”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
แต่เมื่อเป็นแค่เรื่องเงินก็นับว่าไม่มีปัญหาสำหรับผมเลย
“อย่าเลย” เขาปราม “อย่าให้พ่อรู้ว่านายเป็นประธานบริษัทใหญ่โต
อย่าให้พ่อรู้ว่านายมีเงิน.....ถ้าเขารู้ เขาจะไม่เลิกเกาะติดนายแน่ๆ คนอย่างเขาไม่เคยพอหรอก” จินยองพูดแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง “เขาไม่เคยพอ....ในอะไรเลย”
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าจินยอง” ผมมองหน้าเขา “บอกฉันได้นะ
นายก็รู้ว่าฉันช่วยนายได้ทุกอย่าง”
“บางเรื่องก็ไม่ได้หรอก
อย่าลำบากเลย” เขายิ้ม “ไปกินข้าวกันดีกว่า” ว่าแล้วเขาก็คว้าข้อมือของผมก่อนจะลากออกมา ทันทีที่เดินออกมาจากร้าน จินยองก็เงยหน้าขึ้นมองหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างมีความสุข
ก่อนจะหลับตาแล้วพูดกับผมเบาๆ
“สิ่งสำคัญในชีวิตฉันมีอยู่สามอย่าง
นายรู้ไหมว่ามีอะไรบ้าง”
“หิมะแน่นอน
นั่นน่ะอย่างแรกเลย” ผมหัวเราะเสียงดัง “อย่างที่สองก็น่าจะเป็นร้านดอกไม้ของนาย แต่อย่างที่สามเนี่ย
ฉันไม่รู้หรอก ถ้าให้เดาละก็ฉันจะตอบว่าอย่างที่สามก็คือตัวฉันเอง”
“นายทายผิดไปนิดนึงนะ” เขาหันมามองหน้าผม แววตาที่อบอุ่นนั่นทำให้ผมนึกถึงวันแรกที่เจอเขา พัคจินยองเป็นผู้ชายที่น่าสงสาร
แต่เพราะความแข็งแกร่งในความอ่อนโยนนี่เองที่ทำให้ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะคบเขาเป็นเพื่อน
“อย่างแรกที่สำคัญสำหรับฉันไม่ใช่หิมะ” เขาพูดยิ้มๆ
.
.
.
“แต่เป็นนาย”
-------------------------------------------------------------------------
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก
จินยองยังคงเปิดร้านดอกไม้ของเขาตามปกติโดยที่ไม่มีเงาของไอ้ผู้ชายนั่นมาตามรังควาน
เท่าที่ผมเห็นในตอนนี้เขาดูมีความสุขมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่จินยองนั่งอยู่บนเก้าอี้ท่ามกลางหิมะและทอดสายตามองออกไปโดยไม่มีจุดหมาย
เขาอาจจะคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเหมือนเดิม
ผมก็เลยไม่ค่อยได้สนใจท่าทางนั้นเท่าไหร่นัก......
จนกระทั่งวันนี้.....
“ฉันพักเที่ยงแล้ว
จินยอง” ผมกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์มือถือ
คำพูดที่ผมพูดเป็นประจำทุกเที่ยงวันก็ยังคงเป็นแบบเดิมๆ การกินข้าวกับจินยองเป็นเรื่องปกติเพราะร้านดอกไม้ของเขาก็ไม่ไกลจากบริษัทผมเท่าไหร่
และอีกอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ผมมีความสุขจริงๆนะเวลาที่อยู่กับเขา
มีเสียงแปลกๆมาจากปลายสาย
บางทีจินยองอาจจะไม่ได้อยู่คนเดียว คงจะมีลูกค้าเข้าร้านช่วงก่อนเที่ยงแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะผมก็ไปนั่งรอเขาบ่อยๆอยู่แล้ว
จินยองมีความสุขที่ได้ต้อนรับลูกค้า (โดยเฉพาะในวันที่หิมะตก)
และผมก็มีความสุขที่ได้นั่งมองเขาต้อนรับลูกค้าอีกที
“วันนี้คงไม่สะดวกแล้วล่ะแจบอม
พอดีฉันติดธุระนิดหน่อย” จินยองตอบกลับมา “เว้นวันนึงก็แล้วกันนะ ฉันต้องจัดการธุระให้เสร็จก่อน” เขาพูดแค่นี้แล้วก็วางหูไป นั่นมันผิดวิสัยของจินยองเอามากๆ เพราะไม่ว่าจะยุ่งยังไงเขาก็รู้ว่าผมรอเขาได้
ไม่มีวันไหนเลยที่จินยองจะไม่กินข้าวกลางวันกับผม ถึงจะเลทแค่ไหนหรือบ่ายกี่โมง
ยังไงเราก็ต้องไปกินข้าวกลางวันด้วยกันอยู่ดี
ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือเสียงของเขาที่ตอบกลับมา
มันแปลกมากจนผมไม่คิดว่านั่นคือจินยองที่ผมเคยรู้จัก
ชั่วขณะหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ถึงความเยียบเย็นจากเสียงของเขา
แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาทีจริงๆ เพราะหลังจากนั้นถัดมา เสียงของจินยองก็กลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม
อะไรบางอย่างบอกผมว่าไม่ใช่เรื่องปกติ
เขาต้องมีเรื่องที่ไม่อยากบอกผมแน่ๆ คนอย่างจินยอง ต่อให้เค้นคอถามจนตายยังไง ถ้าไม่อยากบอก เขาก็จะไม่มีวันบอก
เพราะฉะนั้นผมจึงตัดสินใจไปหาเขาด้วยตัวเอง อาจมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับจินยองก็ได้
หลายวันที่ผ่านมาผมสังเกตเห็นจินยองเหม่อลอยมากกว่าปกติ
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะหลังจากเหม่อลอยแล้วเขาก็มักจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขเสมอ
เหมือนกับเรื่องที่เขาคิดอยู่นั้นเป็นเรื่องอะไรสักอย่างที่ดีมากๆ ผมชอบจินยองที่มีความสุข ผมชอบเขาที่เป็นแบบนั้น เพราะงั้นผมเลยไม่ติดใจสงสัยอะไรอีกจนกระทั่งได้ยินเสียงของเขาในวันนี้
.
.
.
“จินยอง
จินยอง ฉันมาหา”
ผมตะโกนเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปในร้านอย่างถือวิสาสะ
เพราะลุยหิมะมาจึงทำให้รองเท้าของผมเปียกไปด้วยน้ำ
วันที่หิมะตกแรงขนาดนี้ไม่น่าจะมีลูกค้านี่นา แล้วมันเพราะอะไรกันถึงทำให้จินยองไม่ยอมมากินข้าวกับผม ที่สำคัญยังทำเสียงแปลกๆแบบนั้นด้วย
“จินยอง” ผมตะโกนอีกครั้ง ชักจะเริ่มไม่สบายใจแล้ว
ร้านของเขาเงียบมากและไม่มีใครอยู่เลย แล้วจินยองหายไปไหน เขาไปอยู่ที่ไหน?
เสียงที่ดังอยู่ข้างหลังร้านปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์
เสียงนั่นให้ตายยังไงผมก็ไม่มีวันลืมได้ มันเป็นเสียงอันน่าขยะแขยงของไอ้เวรนั่น....เขามาอีกแล้ว
นี่ใช่ไหมธุระที่จินยองพูดถึง เพราะพ่อเลี้ยงของเขามาวุ่นวายที่ร้านอีก จินยองจึงไม่อยากให้ผมเข้ามายุ่งด้วย
ผมขยับจะเดินไปตามเสียงนั้น
แต่ประโยคต่อมากลับทำให้ผมตองหยุดชะงักด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง
“เลิกยุ่งกับฉันซะที
ฉันเกลียดแก อย่ามาทำให้ชีวิตของฉันย่ำแย่ไปกว่านี้ ออกไปจากชีวิตฉัน แกมันไอ้ชั่ว
สารเลว... ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!!!!”
มันไม่ใช่ประโยคที่แปลกถ้าเราจะด่าใครสักคน
แต่ในกรณีนี้มันแปลกมาก แปลกจนทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะเจ้าของเสียงที่ผมได้ยินเต็มสองหู.....ก็คือจินยอง.....
หากแต่ประโยคต่อมากลับทำให้ผมช็อคกว่า
หลังจากจินยองตะโกนใส่เขาไปแบบนั้นแล้ว ไอ้พ่อเลี้ยงบ้านั่นก็สวนกลับมาด้วยความจริงที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน
“แกจะทำอะไรฉันได้
จินยอง.....คิดเหรอว่าแค่เปลี่ยนชื่อแล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นมันจะทำให้แกพ้นจากฉันไปได้
ลองอวดเก่งกับฉันดูสิ ทีนี้คนทั้งโลกจะได้รู้แน่ๆว่าแกถูกฉันกระทำยังไงบ้าง
จะเอาแบบนั้นใช่มั้ย”
เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวทำให้ผมหายใจแทบไม่ออก
เหตุผลที่จินยองไม่เคยพูดถึงครอบครัวของเขาเลยเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง
เหตุผลที่เขาเหม่อลอยในบางครั้งและดูเหมือนจะจมอยู่ในความทุกข์ที่ผมไม่เคยดูออก
มันเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง......
“ไอ้ชั่ว
ไอ้เลว ฉันไม่ทนแกอีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดของจินยองเรียกสติผมกลับคืนมา
ผมรีบวิ่งไปหลังร้านทันทีก่อนที่จะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้น
แต่ก็ช้าไปแล้ว.....
เมื่อผมเปิดประตูหลังร้านออกไป
ภาพที่เห็นคือร่างอันบอบบางของจินยองที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ
ในมือของเขาถือกรรไกรตัดดอกไม้ เพียงแต่คราวนี้มันไม่ได้ใช้กับดอกไม้
และมันก็อาบไปด้วยเลือด....
“จินยอง นายทำอะไรลงไป นายทำอะไรลงไป”
ผมพูดเสียงสั่นก่อนจะคว้ากรรไกรมาจากมือเขาอย่างรวดเร็ว สายตาของจินยองยังคงจับจ้องไปยังคนที่นอนอยู่กับพื้น
เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและน่ากลัวอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“ฉันเกลียดมัน
แจบอม ฉันเกลียดมัน” เขาพูดออกมาเหมือนบังคับตัวเองไม่ได้ “มันทำลายชีวิตฉัน เพราะมันถึงทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ ฉันเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปมากพอแล้ว
มันยังจะตามมาเอาจากฉันไปอีก ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันไม่ทนแล้ว”
แม้จะพูดออกมาเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่เสียงของเขาก็ยังคงสงบนิ่ง จินยองกลับมาเป็นจินยองคนเดิม.....ทั้งที่ในความเป็นจริง
เขาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
ไอ้ผู้ชายบ้านั่นนอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บอยู่ที่พื้น แผลที่อกของเขามีเลือดทะลักออกมาไม่หยุด ถึงอย่างงั้นก็เถอะ
การแทงแค่ครั้งเดียว แม้จะใช้แรงมาก แต่ถ้าไม่ถูกเป้าหมาย
มันก็ไม่มีประโยชน์.......
“ช่วยฉันด้วย....ช่วย...ฉัน...ที” เจ้านั่นวิงวอนขอความช่วยเหลือจากผม ผมเงยหน้าขึ้นมามองจินยองเขายังคงจ้องพ่อเลี้ยงอยู่โดยไม่ละสายตาไปไหน
แม้จะไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากของเขาอีก แต่ผมก็รู้ว่าจินยองจะไม่หยุดแค่นี้
เขาจะไม่มีวันหยุดถ้าคนตรงหน้าเขายังไม่สิ้นลมหายใจ.....
.
.
.
ผมไม่เคยรู้เลยว่าหิมะไม่บริสุทธิ์
แม้ภายในสีขาวนั้นก็ใช่ว่าจะบริสุทธิ์อย่างที่เราเห็น
เลือดสีแดงไหลออกมาจากร่างที่นอนอยู่กับพื้น
มันค่อยๆไหลลงมาปนกับหิมะทีละน้อยจนบริเวณนั้นเต็มไปด้วยสีแดง
แม้จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น แต่จินยองก็ดูสงบนิ่ง
เขาสงบมากเกินกว่าที่ผมจะหยั่งลึกได้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมเดาไม่ถูกจริงๆว่าเขาคิดจะทำอะไรต่อไป
ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่ผมก็รู้ว่า
ผมจะไม่ปล่อยให้สีแดงที่น่าสยดสยองนั้นมาแปดเปื้อนเขาอีก
นานเท่านานที่ผมกับจินยองยืนอยู่เงียบๆแบบนั้น
เวลาทั้งหมดเหมือนจะหยุดนิ่งและเป็นใจให้ผมทำในสิ่งที่ต้องการ ผมแค่อยากปกป้องเขา
ผมแค่อยากให้เขาเป็นหิมะสีขาวเหมือนเดิมต่อไป ผมไม่อยากให้เขาเปรอะเปื้อนอะไรทั้งนั้น
เพราะจินยองอ่อนโยนและนุ่มนวลเหมือนกับหิมะ ตรงกันข้ามกับผม อิมแจบอมที่ไม่เหมาะกับคำว่าหิมะเลยแม้แต่นิดเดียว.....
ผมตัดสินใจใช้กรรไกรในมือปักลงที่อกไอ้บ้านั่นอย่างแรง
ก่อนจะกดลงไปอีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าร่างที่นอนอยู่นั้นจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้อีก
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ความทรงจำอันน่ารังเกียจนั้นจะไม่มีวันมาหลอกหลอนเพื่อนของผมอีก ต่อไปนี้จินยองจะต้องมีความสุข เขาจะต้องมีความสุข
เขาจะไม่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไป นี่คงเป็นอย่างเดียวที่ผมจะทำให้เขาได้
ผมจะทำให้เขาและผมก็เต็มใจจะทำ
“ฉันจัดการทุกอย่างให้เอง” ผมค่อยๆพยุงจินยองมานั่งเก้าอี้ในร้าน
ใบหน้าของเขาสงบก็จริง แต่มันซีดมากซะจนผมกลัว
กลัวว่าเขาจะแตกสลายลงไปตรงหน้าของผม
“สิ่งเดียวที่นายชอบก็คือหิมะ
ฉันไม่อยากทำให้นายเกลียดหิมะเพราะเรื่องนี้....จินยอง.....จำเอาไว้ว่านายยังคงบริสุทธิ์
นายยังคงอ่อนโยนเหมือนกับหิมะสีขาวนี่ ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น
ฉันเป็นคนทำเอง.....คนอย่างแจบอมไม่คู่ควรกับหิมะสีขาวอยู่แล้ว
เรื่องทั้งหมดนี้นายไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย อย่าคิดมากนะ นายไม่ได้ทำอะไร
นายไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” ผมกระซิบที่หูเขาเบาๆเพื่อย้ำให้จินยองมั่นใจมากขึ้น
เขาทอดสายตาออกไปมองหิมะที่อยู่หน้าร้านแล้วหันกลับมามองผมอีกครั้ง
แววตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย เขายิ้มละไมก่อนจะบอกกับผมว่า
“หิมะสีขาวสวยจังนะ”
จินยองว่าก่อนจะหลับตาลง “ฉันชอบหิมะมากเลยล่ะแจบอม
มันบริสุทธิ์แล้วก็นุ่มนวลมาก หิมะเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกเลยนะ”
“ใช่
มันบริสุทธิ์” ผมบอก “เหมือนกับนายไง จินยองที่แสนจะอ่อนโยนนุ่มนวล นายเป็นเหมือนหิมะนะ นายเป็นหิมะที่สวยงาม” ผมกระซิบที่หูเขาอีกครั้งพร้อมกับมองคนในอ้อมแขนที่หลับตาลงอย่างเป็นสุข......
.
.
.
สีขาวของหิมะเป็นสีที่บริสุทธิ์....ผมมองมันแบบนั้นเสมอมา
แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วหิมะนั้น ถึงมันจะมีสีขาว
ก็ไม่ได้แปลว่ามันบริสุทธิ์.....
The End